มูลเหตุการสร้างวัด
ก่อนปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ท้องที่ในแขวงบางบอนใต้ ( ชื่อเรียกในสมัยนั้น ) ไม่มีวัดมีแต่ชาวบ้านที่นับถือศาสนาพุทธศาสนา อาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่กันเป็นชุมชนแล้ว แม้จะยังไม่หนาแน่นนัก เนื่องจากวัดเป็นศูนย์กลางของสังคมไทย
ที่นับถือพระพุทธศาสนา
มาตั้งแต่อดีต เป็นเหตุให้ชาวบางบอนใต้ประสบปัญหามาก
เมื่อจะบำเพ็ญกุศลที่เกี่ยวข้องกับพระภิกษุสงฆ์ ทั้งในยมปกติและยามเทศกาล เป็นเหตุให้ชาวบางบอนใต้
ประสงค์ให้มีวัดของพวกตน
ผู้สร้างวัดบางบอน หรือ (
วัดใหม่ตาเฉยบางบอนใต้ )
ขณะนั้น ชาวบางบอนใต้
นำโดย ปู่เฉย ย่ากัน
เปียธัญญา พร้อมด้วยเพื่อนบ้าน
ได้ขวนขวาย
ชักชวนกันสร้างเป็นเพิงไม้ปูพื้นด้วยไม้กระดานไว้ ณ
ที่ตั้งวัดบางบอนนี้
ซึ่งเดิมเป็นที่อยู่ของตน
แต่ได้ย้ายไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่ตั้งวัดบางบอนปัจจุบัน ถึงเวลาราชการ
เช่น ตรุษสงกรานต์ เป็นต้น
ปู่เฉยก็จะไปนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ จากวัดอัปสรสวรรค์ ( วัดหมู ) อ. ภาษีเจริญ จ. ธนบุรี
ซึ่งมีพระภิกษุเจริญ อุปติสโส เป็นหัวหน้าไปร่วมพิธี
เพื่อให้ชาวบางบอนใต้ร่วมกันบำเพ็ญกุศล เป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญโดยทั่วกัน
กิจกรรมดังกล่าวนี้ได้ดำเนินไปประมาณ ๒ – ๓ ปี
ปี พ.ศ. ๒๔๕๓
ปู่เฉย ย่ากัน เปียปัญญา ได้บริจาคที่ดิน ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งบ้านเรือนเดิมของตน
( ที่ตั้งวัดบางบอนในปัจจุบัน ) มีเนื้อที่ประมาณ ๓
ไร่เศษให้สร้างเป็นวัดอุทิศไว้ในพระพุทธศาสนา พร้อมได้ถวายเรือนอีก ๒ หลัง
ให้รื้อไปสร้างเป็นกุฏิที่พำนักสงฆ์ โดยได้นิมนต์ พระสมุห์เจริญ อุปติสโส จากวัดอัปสรสวรรค์ ( วัดหมู ) เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง
และได้ตั้งชื่อสำนักสงฆ์นี้ว่า “ วัดใหม่ตาเฉยบางบอนใต้ ”
เมื่อสร้างวัดใหม่ตาเฉยบางบอนใต้ นายบุญ
ชาวบางบอนใต้นี้ อยู่ในวัยชรามากแล้ว ได้มีศัทธาปสาทะ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
และธรรมุเทศาจารย์ เจ้าคณะแขวงล่าง อำเภอบางขุนเทียน ในสมัยนั้น
ได้แต่งตั้งพระภิกษุบุญ (
ไม่ทราบฉายา ) ให้เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส
ขณะเดียวกัน ปู้เฉย ย่ากัน เปียธัญญา ได้สร้างอุโบสถเป็นอาคารไม้ถวาย
อยู่กันคนละฝั่งลำกระโดงสาธารณประโยชน์ตรงข้ามกับอุโบสถหลังเก่า ด้านทิศตะวันออก แต่เมื่อพระภิกษุบุญ
เป็นเจ้าอาวาสได้ไม่กี่พรรษาก็มรณภาพ
ต่อมาเจ้าคณะแขวงล่าง
ได้ตั้งให้พระภิกษุพุ่ม ( ไม่ทราบฉายา และนามสกุล ) ซึ่งเป็นชาวบางบอนใต้ อุปสมบทเมื่อวัยชราแล้ว เป็นเจ้าอาวาส ระยะนี้ทางวัด
มีกุฏิ สำหรับเป็นที่พำนักพระภิกษุและสามเณรประมาณ ๕ หลัง
ช่วงที่พระภิกษุพุ่มชรามากนั้น พระภิกษุศิริ สิริปญโญ ได้ย้ายจากวัดแถวมหาชัย มาอยู่ที่วัดใหม่ตาเฉย
จึงเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาวัด
การสร้างอุโบสถหลังใหม่ พ.ศ. ๒๔๕๙
พระภิกษุศิริ สิริปญโญ
ได้ดำริสร้างอุโบสถหลังใหม่ให้ถาวรแทนอุโบสถหลังแรกที่ปู่เฉยได้สร้างไว้จึงได้ปรึกษากับหลวงโลกบาล
ซึ่งเป็นนายอำเภอในสมัยนั้น
หลวงโลกบาลได้ไปตรวจสอบสถานที่สร้างอุโบสถหลังใหม่แทนอุโบสถอาคารไม้
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับอุโบสถหลังเก่าในปัจจุบันทางทิศตะวันออกมีลำกระโดงสาธารณประโยชน์คั่นอยู่กลาง
แต่มีปัญหาเรื่องที่ดิน เพราะเป็นที่ดิน ของนายมี
นางกลีบ นิลอ่อน
หลวงโลกบาลจึงให้ทางวัด
สร้างอุโบสถหลังใหม่นี้ในที่ดินของวัดตรงที่สร้างอุโบสถหลังเก่าปัจจุบันนี้
ปี พ.ศ. ๒๔๕๙ หลวงโลกบาล
ได้เป็นเจ้าภาพดำเนินการก่อสร้างอุโบสถถาวรหลังใหม่ให้วัดใหม่ตาเฉยบางบอนใต้โดยลำพัง
และได้สร้างพระพุทธปฏิมาประธานซึ่งมีพระนามว่า
“
พระบรมศรีสุคต อุดมพรตชินกูล พุทธบรมบพิธ ” ( พุทโธ
) แต่ชาวบ้านเรียกพระนามท่านว่า
“ หลวงพ่อเกษร ” เพราะผู้สร้างให้ช่างจำลองแบบพิมพ์ของหลวงพ่อเกษรวัดท่าพระ
ต. ท่าพระ
อ. บางกอกใหญ่
จ. ธนบุรี จึงนิยมเรียกชื่อเดิมของท่าน พระพุทธปฏิมาองค์นี้
เป็นพระพุทธรูป ปางมารวิชัย ศิลปสุโขทัย หน้าตักกว้าง ๕๕ นิ้ว สูง ๗๒ นิ้ว
ฐานทำเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงาย ที่ฐานด้านหน้ามีจารึกเป็นอักษรขอมว่า “ พระพุทธศักราช ๒๔๕๙ ” หลวงโลกบาลได้จัดพิธีเททองหล่อขึ้น
ณ วัดราชโอรสาราม โดยมีพระภาวนโกศล (
เอี่ยม ) วัดหนัง ซึ่งชาวบ้านนิยมเรียกท่านว่า
หลวงปู่เฒ่า เป็นประธานเททองหล่อพระพุทธรูปนี้ ต่อมาได้อัญเชิญพระพุทธรูปดังกล่าว
นี้ลงเรือนำไปประดิษฐานเป็นพระพุทธปฏิมาประธานไว้ประจำอุโบสถวัดใหม่ตาเฉยบางบอนใต้
เมื่อเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๐
อนึ่ง วันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ.
๒๔๖๐ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชการที่ ๖
ได้พระราชทานวิสุงคามสีมาให้แก่วัดบางบอนใต้ ดังมีประกาศไว้ดังนี้
“ มีพระราชโองการ
ประกาศไว้แก่ชนทั้งปวงว่า ที่เขตพระอุโบสถ วัดบางบอนใต้ ตำบลบางบอนใต้
ท้องที่อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดธนบุรี โดยยาว ๒ เส้น ๑๐ วา กว้าง ๑ เส้น ๑๐ วา
พระธรรมเทศาจารย์ เจ้าคณะแขวงล่าง
จังหวัดธนบุรี ได้ให้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอเป็นที่วิสุงคามสิมา
พระเจ้าแผ่นดินสยามได้ทรงยินดีอนุโมทนาอนุญาตแล้วโปรดให้กระทรวงนครบาลปักกำหนดให้ตามประสงค์
ทรงพระราชอุทิศที่นั้นให้เป็นที่วิสุงคามสิมา ยกเป็นแผนกหนึ่งต่างหาก
เป็นที่สำหรับพระสงฆ์ มาแต่จาตุทิศทั้งสี่ ทำสังฆกรรมมีอุโบสถกรรมเป็นต้น
พระราชทานตั้งแต่ ณ วันที่ ๔
มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๓๖ พระพุทธศาสนายุกาล ๒๔๖๐ เปนวันที่ ๒๓๙๘
ในรัชกาลปัตยุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น